อะไรหนักใจที่สุด? ของว่าที่ผู้ว่าฯกทม.คนใหม่ เห็นต่างกันทั้งน้ำทะเลหนุน ปัญหาทุจริต การร่วมงานกับรัฐบาลเดิม และการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนกทม.ที่ต้องร่วมมือ เพราะหากนโยบายดี แต่คนไม่เปลี่ยนแก้ยาก
ไทยพีบีเอส จัดมหกรรม “ปลุกกรุงเทพฯ เปลี่ยนเมืองใหญ่ เลือกตั้งผู้ว่าฯ 65” ด้วยการประชันวิสัยทัศน์ ของผู้สมัครชิงตำแหน่ง “ผู้ว่าฯ กทม.” มีผู้สมัครผู้ว่าฯ เข้าร่วม 5 คน คือ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครหมายเลข 1 นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครหมายเลข 3 นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครหมายเลข 4 น.ส.รสนา โตสิตระกูล ผู้สมัครหมายเลข 7 น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครหมายเลข 11 โดยหนึ่งในการดีเบตครั้งนี้มีคำถามจากผู้ชมออนไลน์ ปัญหาใดเป็นปัญหาที่หนักใจและท้าทายมากที่สุด
“สุชัชวีร์ ” ปัญหาน้ำทะเลหนุน
เพราะนโยบายที่พูดมาทั้งหมด จะหายหมดเลย ไม่มีผู้ว่าฯ คนไหนพูดชัดเจนเหมือนผม ตอนนี้น้ำทะเลหนุนมาแล้ว ทุกนโยบายจะมาตายที่น้ำทะเลหนุน เพราะเป็นอะไรที่ยากที่สุด 4 ปีจะไม่จบ ขอเป็นผู้ว่าฯที่เริ่ม เพราะใช้เวลา 10-20 ปี แต่หากไม่ทำในวันนี้มันจะสายไปจริงๆ และขอโทษไม่ได้ อันนี้บอกจากหัวใจเลย มันต้องทำแล้ว ขอโอกาสผมทำนะครับ
ที่ผ่านมาหลายคนไม่สนใจ เพราะไม่มีความรู้ เป็นผู้ว่าฯ กทม.ไม่ใช่เพียงขายนโยบาย แต่ถามว่ามีความรู้หรือไม่
หลายคนพูดเรื่องรถติด พูดเรื่องน้ำท่วมถามว่าเป็นวิศวกรเคยทำเรื่องนี้หรือไม่ พูดเรื่องการศึกษาเคยทำเรื่องการศึกษาหรือไม่ ขอให้เลือกผู้ว่าฯ ที่มีความรู้และมีความมุ่งมั่นจะได้จัดการปัญหาได้
อ่านข่าวเพิ่ม ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. พร้อมรับความหลากหลาย คนทุกกลุ่ม-สภาพแวดล้อม
“สกลธี” แก้ปัญหาจากคนกรุงเทพ
ถ้าพูดตรงๆ อย่าโกรธ เพราะที่หนักใจคือ “คนกรุงเทพฯ” เพราะปัญหาที่เกิดมาจากคน เช่น มอเตอร์ไซด์ขับขึ้นบนทางเท้า ขยะที่ทิ้งในแหล่งน้ำ มีทั้งเตียง ตู้เย็น หลายอย่างที่ก่อมลพิษ เกิดจากคน ซึ่งนโยบายทำให้ดีขึ้นได้ แต่ต้องมาจากคน
ถ้าคนกรุงเทพ ไม่ได้คิดว่าเราเป็นเจ้าของบ้านทั้งหมด คิดแค่บ้านตัวเองสะอาด ไม่ร่วมกันรักษา แก้ยากที่สุด แม้จะมีนโยบายที่ดี
สกลธี ระบุกรณีการไล่จับมอเตอร์ไซค์ วิ่งบนทางเท้า เดิมเก็บได้แค่ปีละ 300,000บาท แต่ในช่วง 3 ปีจับได้ 16 ล้านบาท โดยร่วมกับเทศกิจลงไปจับเอง เคยมีเคสบิ๊กไบค์ ขี่บนวังทองหลางและเฉี่ยวนักเรียนบาดเจ็บสาหัส บางเรื่องมองว่าไม่ต้องใช้เงิน แต่เพียงแค่ลงไปเกาะติดก็แก้ได้
“วิโรจน์” หนักใจถ้าทำงานร่วมกับรัฐบาลเดิม
สิ่งที่หนักใจที่สุด คือ การทำงานร่วมกันกับรัฐบาลที่ไร้สติปัญญา เพราะการทำงานพบปะประชาชน มีคำถามทั้งวิกฤต ยูเครน-รัสเซีย อุปสงค์-อุปทานของการเลี้ยงสุกร ผู้ว่าฯกทม.จะแก้อย่างไร ซึ่งสะท้อนว่าประชาชนสิ้นหวังกับรัฐบาล และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
พรรคก้าวไกล ต้องการเข้ามาเปลี่ยนเกม หลายคนบอกว่ากลัววิโรจน์ ว่าจะเข้ามาเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ไม่ต้องกลัว เพราะถ้าผมเข้าไปได้จะเปลี่ยนแน่ ถ้าต้องการเปลี่ยนเกม ต้องการให้แก้บัญญัติ หรือผลักดันเข้าสู่สภาฯ ใช้อำนาจนิติบัญญัติในการแก้กฎหมายในการดูแลคนกรุงเทพฯ ได้ดีขึ้น ขอให้เลือกตนเอง
นอกจากนี้ ยังมีคนถามว่าคุณจะทำงานร่วมกับรัฐบาลได้หรือไม่ ถามกลับว่าคุณต้องการผู้ว่าฯ หรือ ส.ก.ที่ยึดโยงกับประชาชน หรือต้องการขยับกระดูกสันหลังตามรัฐบาลไปเรื่อยๆ คนกรุงเทพฯ ไม่ได้ต้องการอย่างนั้น
“รสนา” หนักใจทุจริตทุกหย่อมหญ้า
การทุจริตใน กทม.ทุกหย่อมหญ้า และมีประเด็นที่ถูกทำไว้แล้ว เช่น สัญญากำจัดขยะใช้เงินปีละ 7 พันล้าน สัญญาเหล่านี้ไม่มีใครเห็น รวมทั้งกรณีรถบีทีเอส ที่พยายามจะผูกสัมปทานไปอีก 30 ปีในราคา 65 บาท ทั้งที่รัฐบาล คสช.ที่เข้ามาแทนที่จะแก้ปัญหา แต่กลับไม่แก้ปมอะไร
การจะแก้ปมขึ้นกับกระทรวง ที่อยู่กับรัฐบาลที่อยากผูกปมต่อ ดังนั้นต้องอาศัยทุกคนเลือกรสนาเป็นผู้ว่าฯ กทม.จะใช้อำนาจของประชาชนเข้าไปแก้ปัญหาให้ได้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
แนะพัฒนา “คนจนเมือง” มีที่อยู่อาศัย-มีงานทำ-คุณภาพชีวิตดีขึ้น
“สกลธี-สุชัชวีร์-รสนา” ตั้งเป้าพัฒนา รพ.กทม.ให้ทันสมัย